วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

คณิตศาสตร์สําหรับปฐมวัย

คณิตศาสตร์สําหรับปฐมวัย
ความสําคัญของคณิตศาสตรสําหรับปฐมวัย
1. ทำใหเปนคนคิดเปน ทำเปน แกปญหาเปน โดยเฉพาะอาศัยหลักการทางคณิตศาสตรเปนพื้นฐาน
2 ใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิผล
4. เปนเครื่องมือที่สําคัญในการสํารวจขอมูล วางแผนงานและประเมินผลการดําเนินงาน
5. เรียนวิชาตางๆ ไดดี เพราะคณิตศาสตรเปนเครื่องมือในการเรียนรูของวิชาอื่นๆโดยเฉพาะวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
จุดมุงหมายของการสอนคณิตศาสตรสําหรับเด็กปฐมวัย
1. เพื่อใหเด็กมีความเขาใจพื้นฐานเกี่ยวกับคณิตศาสตร เชน การรูจักคําศัพท
2. เพื่อพัฒนามโนภาพเกี่ยวกับคณิตศาสตร เชน การบวก ลบ
3.เพื่อใหเด็กรูจักและใชกระบวนการหาคําตอบ
4. เพื่อใหเด็กฝกฝนคณิตศาสตรพื้นฐาน
5.เพื่อใหเด็กมีความรูความเขาใจ
6. เพื่อสงเสริมใหเด็กคนควาหาคําตอบดวยตนเอง

ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์ ดังนี้
1. การจำแนกประเภท
2. การจัดหมวดหมู่
3. การเรียงลำดับ
4. การเปรียบเทียบ
5. รูปร่างรูปทรง
6. พื้นที่
7. การชั่งตวงวัดการนับ
8. การรู้จักตัวเลข
9. รู้จักความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนกับตัวเลข
10.             เวลา
11.             การเพิ่มและลดจำนวน




ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย (การอ้างอิง)
            เยาวพา เดชะคุปต (2541 : 83) กลาวถึงจุดมุงหมายของการสอนคณิตศาสตร
เพื่อใหเด็กปฐมวัยเกิดความเขาใจในสิ่งตาง ๆ ตอไปนี้
1. เกิดความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร
2. มีความสามารถในการแกปญหา
3. มีทักษะและวิธีการในการคิดคํานวณ
3. สรางบรรยากาศในการคิดอยางสร้างสรรค์
5. สงเสริมความเปนเอกัตบุคคลในตัวเด็ก
6. สงเสริมกระบวนการในการสืบสวนสอบสวน
7. สงเสริมกระบวนการคิดโดยใช้เหตุผล

             คมขวัญ ออนบึงพราว (2550: 13) ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย เป็นนกระบวนการทางความคิดและการพัฒนาความสามารถด้านต่าง ๆ ตั้งแต่การรู้ค่าจำนวน การจัด หมวดหมู การจำแนกเปรียบเทียบ การเรียงลำดับ และการหาความสัมพันธ์ซึ่งสิ่งเหล่านี้เด็กจะเรียนรู้ ได้จากการจัดกิจกรรมของครู แต่ในการจัดกิจกรรมจะต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับพัฒนาการ ของเด็กเพื่อที่เด็กจะไดพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์อย่างมีประสิทธิภาพ
           นิตยา ประพฤติกิจ (2541 : 17-19)ไดกล่าวว่า ขอบข่ายของคณิตศาสตร์ ในระดับ ปฐมวัยควรประกอบ ด้วยทักษะ ดังต่อไปนี้
           1. การนับ (Counting) เป็นคณิตศาสตร์เกี่ยวกับตัวเลขอันดับแรกที่เด็กรู้จัก การนับอย่างมีความหมาย การนับตามลำดับ ตั้งแต 1-10 หรือมากกว่า
           2. ตัวเลข (Number) เป็นการให้เด็กรูจักตัวเลขที่เห็น หรือใช้ในชีวิตประจำวัน เล่นของเล่นที่เกี่ยวกับตัวเลข นับและคิดเองโดยครูเป็นผู้วางแผนจัดกิจกรรม อาจมี การเปรียบเทียบด้วย เช่น มากกว่า น้อยกว่า
          3. การจับคู (Matching) เป็นการฝึกฝน รูจักสังเกตลักษณะ จับคู เหมือนกัน หรืออยูประเภทเดียวกัน
          4. การจัดประเภท (Classification)  ให้รูจักการสังเกต  คุณสมบัติสิ่งรอบตัว ในเรื่องของ เหมือนกันหรือแตกต่างกันในบางเรื่อง การจัดประเภท
          5. การเปรียบเทียบ (Comparing) ตองมีการสืบเสาะและหาความสัมพันธ์ ของสองสิ่ง รู้มากกวา น้อยกว่า ยาว สั้น เบา หนัก
          6. การจัดลำดับ (Ordering) การจัดสิ่งของชุดหนึ่ง ๆ ตาม คําสั่ง หรือตาม กฎ เชน จัดบล็อก 5 แทง ที่มีความยาวไมเท่ากัน เรียงลําดับจากสูงไปต่ำ สั้นไปยาว
         7. รูปทรง หรือ เนื้อที่ (Shape and Space) นอกจากใหเด็กไดเรียนรูเรื่องรูปทรง และเนื้อที่จากการเลนตามปกติแลว ครูยังตองจัดประสบการณใหเด็กไดเรียนรูเกี่ยวกับ วงกลม สามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมจัตุรัส สี่เหลี่ยมผืนผา ความลึกตื้น กวางแคบ
          8. การวัด (Measurement) ใหเด็กลงมือวัดดวยตนเอง ใหรูจักความยาว และระยะ รูจักการชั่งน้ำหนัก และรูจักประมาณคราว ๆ
          9. เซต (Set) การสอนเรื่องเซต จากสิ่งรอบ ๆ ตัว มีการเชื่อมโยงกับ สภาพรวม เชน รองเทา กับ ถุงเทา หองเรียนมีบุคคลหลายประเภท แยกเปนเซต คือ นักเรียน ครูประจําชั้น ครูชวยสอน เปนตน
        10. เศษสวน (Fraction) สอนความคิดรวบยอดเกี่ยวกับครึ่งเนนสวนรวม (The Whole Object) ใหเด็กเห็นก่อนมีการลงมือ ปฏิบัติเพื่อให้เด็กไดเขาใจความหมายครึ่ง
         11. การทําตามแบบหรือลวดลาย (Patterning) เปนการพัฒนาใหเด็กจดจํารูปแบบ หรือลวดลาย จําแนกดวยสายตา การสังเกต ฝกทําตามแบบและลากตอจุด ใหสมบูรณ
             12. การอนุรักษ หรือ การคงที่ดานปริมาณ ( Conservation)  ชวงวัย 5 ขวบ ขึ้นไป ครูอาจเริ่มสอนเรื่องการอนุรักษไดบาง โดยใหเด็กไดลงมือปฏิบัติจริง จุดมุงหมายของการสอนเรื่อง คือเด็กไดมีความคิดรวบยอดเรื่องการอนุรักษที่วา จะยายที่หรือทําใหมีรูปรางเปลี่ยนไปก็ตาม
             เยาวพา เดชะคุปด (2542 : 87-88) ไดเสนอการสอนคณิตศาสตรแนวใหมที่ครู ควรศึกษาเพื่อจัดประสบการณใหกับเด็ก ดังนี้
                1. การจัดกลุมหรือเซต สิ่งที่ควรสอนไดแก การจับคู 1 : 1 การจับคูสิ่งของ    การรวมกลุม     กลุมที่เทากัน และ ความเขาใจเกี่ยวกับตัวเลข
                 2. จำนวน 1-10 การฝกนับ 1-10 จํานวนคู จํานวนคี่
                 3. ระบบจำนวน (Number System) และชื่อของตัวเลข 1= หนึ่ง 2 = สอง
                 4. ความสัมพันธระหวางเซตตาง ๆ เชน เซตรวม การแยกเซต ฯลฯ
                 5. สมบัติของคณิตศาสตรจากการรวมกลุม (Properties of Math)
                 6. ลําดับที่ สําคัญ และประโยคคณิตศาสตร ไดแก ประโยคคณิตศาสตรที่แสดงถึง จํานวน ปริมาตร คุณภาพตาง ๆ เชน มาก-นอย-สูง-ต่ำ ฯลฯ
                 7. การแกปญหาทางคณิตศาสตร เด็กสามารถวิเคราะหปญหางาย ๆ ทางคณิตศาสตรทั้งที่
เปนจํานวน และไมเปนจํานวน
                8. การวัด (Measurement)ไดแก การวัดสิ่งที่เปนของเหลว สิ่งของ เงินตรา อุณหภูมิ รวมถึงมาตราสวน และเครื่องมือในการวัด
               9. รูปทรงเรขาคณิต ไดแก การเปรียบเทียบ รูปราง ขนาด ระยะทาง เชน รูปสิ่งของ ที่มีมิติตาง ๆ จากการเลนเกม และจากการศึกษาถึงสิ่งที่อยูรอบ ๆ ตัว
             10. สถิติ และกราฟ ไดแก การศึกษาจากการบันทึกทําแผนภูมิการเปรียบเทียบตาง ๆ
                    สรุปได้ว่า ทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตร์เป็นทักษะเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ คณิตสาสตร์ เด็กต้องได้รับประสบการณ์ และการฝึกฝนให้เกิดทักษะในเรื่องการสังเกต การจำแนก  เปรียบเทียบ  การจัดกลุ่ม  การเรียงลำดับ การบอกตำแหน่ง การนับ จำนวน ขนาด รูปทรง การวัด มิติสัมพันธ์ และเวลา เพื่อเป็นทักษะพื้นฐานในการเรียนคณิตศาสตร์ขั้นสูง

การเรียนรู้คณิตศาสตร์ระดับปฐมวัยตามแนวทางของ สสวท.
                   การเรียนรูคณิตศาสตรระดับปฐมวัย มุงหวังใหเด็กทุกคนไดเตรียมความพรอมดาน ตางๆ ทางคณิตศาสตร อันเปนพื้นฐานการเรียนรูคณิตศาสตรในชั้นประถมศึกษา โดยกำหนดสาระ หลักที่จำเปนสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้ (สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.), 2554)
            1. จำนวนและการดำเนินการ หมายถึง การแสดงจำนวนและการใชจํานวน ในชีวิตประจําวันในการบอกปริมาณที่ไดจากการนับ การอานเขียนตัวเลขฮินดูอารบิคและเลขไทย รวมถึงการแสดงจํานวน การเปรียบเทียบจํานวน การเรียงลําดับจํานวน การรวมกลุมของสิ่งตาง ๆ สองกลุมที่มีผลรวมไมเกิน 10 และการแยกยอยออกจากกลุมใหญที่มีจํานวนไมเกิน 10
            2. การวัด หมายถึง การแสดงการเขาใจพื้นฐานเกี่ยวกับการวัดความยาว น้ําหนัก ปริมาตร เงินและเวลาโดยใชเครื่องมือและหนวยที่ไมใชหนวยมาตรฐาน
             3. เรขาคณิต หมายถึง การบอกตําแหนง ทิศทางและระยะทาง ของสิ่งตาง ๆ เชน ใกล-ไกล หนา-หลัง ใน-นอก บน-ลาง ทิศทาง การจําแนกรูปเรขาคณิตและเขาใจการเปลี่ยนแปลงรูปเรขาคณิตที่ เกิดจาก การจัดกระทําเกี่ยวกับรูปเรขาคณิตสามมิติและสองมิติ เชน ทรงกลม ทรงสี่เหลี่ยม มุมฉาก กรวย และทรงกระบอก และรูปวงกลม รูปสามเหลี่ยม รูปสี่เหลี่ยม
            4. พีชคณิต หมายถึง การจัดกิจกรรมแบบรูปและความสัมพันธแบบรูปของรูปที่มี รูปราง ขนาด หรือ สี ที่สัมพันธกันอยางใดอยางหนึ่ง
           5. การวิเคราะหขอมูลและความนาจะเปน หมายถึง การรวบรวมขอมูลที่เกี่ยวกับ ตนเองและสิ่งแวดลอมและนําเสนอขอมูลในรูปแผลภูมิอยางงาย
          6. ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร หมายถึง การจัดกิจกรรมเกี่ยวกับ  จํานวน  การวัด  เรขาคณิตศาสตร พืชคณิต และการวิเคราะหขอมูลและความนาจะเปนโดย การสอดแทรกทักษะกระบวนการแกปญหา การใหเหตุผล การสื่อสาร การสื่อความหมาย
          7. ทางคณิตศาสตร การนําเสนอ การเชื่อมโยงความรูตาง ๆ ทางคณิตศาสตร และเชื่อมโยงคณิตศาสตร กับศาสตรอื่น ๆ และมีความคิดริเริ่มสรางสรรค

กระทรวงศึกษาธิการ
               กระทรวงศึกษาธิการ (2546 : 33)ไดกําหนดสาระการเรียนรูทางดานสติปญญา ที่เกี่ยวของกับทักษะพื้นฐานทางคณิตศาสตรไวในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยพุทธศักราช 2546 ดังนี้
            1. การสังเกต การจําแนก และการเปรียบเทียบ ไดแก
                      1.1 การสํารวจและอธิบาย
                      1.2 การจับคูการจําแนกและการจัดกลุม
                      1.3 การเปรียบเทียบ เชน สั้น-ยาว ขรุขระ-เรียบ
                      1.4 การเรียงลําดับสิ่งตาง ๆ
                      1.5 การคาดคะเนสิ่งตาง ๆ
                      1.6 การตั้งสมมติฐาน
                       1.7 การทดลองสิ่งตาง ๆ
                       1.8 การสืบคนขอมูล
                       1.9 การใชหรืออธิบายสิ่งตาง ๆ ดวยวิธีการที่หลากหลาย
          2. จํานวน
                       2.1 การเปรียบเทียบจํานวนมากกวา นอยกวา เทากัน
                       2.2 การนับสิ่งตาง ๆ
                       2.3 การจับคูหนึ่งตอหนึ่ง
                       2.4 การเพิ่มขึ้นหรือลดลงของปริมาณ
            3. มิติสัมพันธ
                      3.1 การตอเขาดวยกัน
                      3.2 การสังเกตสิ่งตาง ๆ และสถานที่มุมมองที่ตางกัน
                      3.3 การอธิบายในเรื่องของตําแหนงของสิ่งตาง ๆ ที่สัมพันธกัน
                      3.4 การอธิบายเรื่องทิศทางการเคลื่อนที่ของคนและสิ่งตาง ๆ
                      3.5 การสื่อความหมายของมิติสัมพันธดวยการวาด ภาพถายและรูปภาพ
            4. เวลา
                       4.1 การเริ่มตนและหยุดกระทําโดยสัญญาณ
                       4.2 การเปรียบเทียบเวลา เชน ตอนเชา ตอนเย็น เมื่อวานนี้ พรุงนี้
                       4.3 การเรียงลําดับเหตุการณตาง ๆ
                       4.4 การสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล

             สภาครูคณิตศาสตรแหงชาติ (NCTM, อางถึงใน Worthem , 1994) กล่าวเนื้อหาของคณิตศาสตร
ไดกําหนดเนื้อหาคณิตศาสตรซึ่งถือวาเปนสวนหนึ่งของเปาหมายใหญ่ ด้านสังคมและการใชชีวิตเมื่อเติบใหญ โดย
กำหนดไวในหลักสูตรอนุบาล ดังนี้
1. การแกปัญหา (Problem Solving)
2. การติดต่อสื่อสาร (Communication)
3. การมีเหตุผล (Reasoning)
4. การเชื่อมโยง (Connections)
5. การประมาณคําตอบ (Estimation)
6. ความรูสึกเกี่ยวกับจํานวนและตัวเลข (Number Sense and Numeration)
7. ความคิดรวบยอดในการจัดกระทํากับจำนวนนับและ 0 (Whole Number Operation)
8. การคํานวณจํานวนนับและศูนย์ (Whole Number Computation)
9. ความรูสึกเกี่ยวกับเรขาคณิตและมิติสัมพันธ (Geometry and Spatial Sense)
                  10. การวัด (Measurement)
                  11. สถิติและความนาจะเป็น (Statistics and Probability)
                  12. เศษสวนและทศนิยม (Fractions and Decimals)13. รูปแบบและความสัมพันธ
                       (Patterns  and Relationships)
                 กรมวิชาการ (2546: 38) เนื้อหาของกิจกรรมทางคณิตศาสตรของ กรมวิชาการ มีดังนี้
      1. การจําแนกและการเปรียบเทียบ ไดแก
 1.1 การสํารวจและการอธิบายความเหมือน ความตางของสิ่งตาง ๆ
 1.2 การจับคู การจําแนก และการจัดกลุม
 1.3 การเปรียบเทียบ เชน ยาว / สั้น ขรุขระ / เรียบ ฯลฯ
 1.4 การเรียงลําดับสิ่งตาง ๆ
 1.5 การตั้งสมมติฐาน
 1.6 การทดลองสิ่งตาง ๆ
 1.7 การสืบคนขอมูล
 1.8 การใชหรืออธิบายสิ่งตาง ๆ ดวยวิธีการที่หลากหลาย
        2. จํานวนไดแก
 2.1 การเปรียบเทียบจํานวน มากกวา นอยกวา เทากัน
 2.2 การนับสิ่งตาง ๆ โดยการทองจํา
 2.3 การจับคูหนึ่งตอหนึ่ง
 2.4 การเพิ่มขึ้นการลดลงของจํานวนหรือปริมาณ
          3. มิติสัมพันธ (พื้นที่ / ระยะ) ไดแก
 3.1 การตอเขาดวยกัน การแยกออก การบรรจุและการเทออก
 3.2 การสังเกตสิ่งตาง ๆ และสถานที่มุมมองที่ตาง ๆ กัน
 3.3 การอธิบายในเรื่องของตําแหนงของสิ่งตาง ๆ ที่สัมพันธกัน
 3.4 การอธิบายในเรื่องของทิศทางของการเคลื่อนที่ของคนและสิ่งตาง ๆ การสื่อ
      ความหมายของมิติสัมพันธดวยการวาด ถายภาพ รูปภาพ
 3.5 การสื่อความหมายของมิติสัมพันธดวยการวาด ภาพถาย และรูปภาพ 

หลักการสอนคณิตศาสตร์
 เพียเจท (Piaget, อางถึงใน หรรษา นิลวิเชียร, 2535 : 118) ไดใหเทคนิคซึ่งเป็นหลัก สําคัญของการที่เด็กจะพัฒนา และเรียนรูความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ ดังนี้
 1. เด็กจะสรางความรูทางคณิตศาสตรโดยการจัดกระทำต่อวัตถุโดยวิธีธรรมชาติหรือดวยตนเอง
  2. เด็กทำความเข้าใจกระบวนการทางด้านคณิตศาสตร์หลังจากที่เด็กเข้าใจการใช เครื่องหมาย  
  3. เด็กควรทาความเข้าใจความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์ก่อนที่จะเรียนรูการใช สัญลักษณ์ ต่าง ๆ ทางคณิตศาสตร์นิตยา
     ประพฤติกิจ (2541: 22-33) ได้กล่าวถึงหลักการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัยไว ดังนี้     
 1. สอนให้สอดคลองกับชีวิตประจำวัน การเรียนรูของเด็กจะเกิดขึ้นเมื่อเด็กมองเห็น   ความจําเปนและประโยชนของสิ่งที่ครูกําลังสอน ดังนั้นการสอนคณิตศาสตร์แกเด็กจะตอง สอดคลองกับกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เพื่อใหเด็กตระหนักถึงเรื่องคณิตศาสตรทีละนอย และ ชวยใหเด็กเขาใจเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ในขั้นตอไปแตสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการใหเด็กไดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู
2. เปดโอกาสใหเด็กไดรับประสบการณ์ทำใหพบคําตอบดวยตนเอง ครูจะตองเปด โอกาสใหเด็กไดรับประสบการณที่หลากหลาย และเป็นไปตามสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมมี โอกาสไดลงมือปฏิบัติจริงซึ่งเป็นการสนับสนุนใหเด็กได้ค้นพบคําตอบดวยตนเอง พัฒนา ความคดและความคิดรวบยอดได้ดวยตนเองในที่สุด
3. มีเปาหมายและมีการวางแผนที่ ครูจะต้องมีการเตรียมการเพื่อใหเด็กคอย ๆ พัฒนาการเรียนรูขึ้นเอง และเปนไปตามแนวทางที่ครูวางไว
4. เอาใจใสเรื่องการเรียนรูและลําดับของการพัฒนาความคิดรวบยอดของเด็ก ครู ตองมีความเอาใจใสเรื่องการเรียนรูเกี่ยวกับคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะลำดับการพัฒนาความคิดรวบยอด ทักษะทางคณิตศาสตร์ โดยคํานึงถึงหลักทฤษฎี
5. ใชวิธีการจดบันทึกพฤติกรรม เพื่อใชในการวางแผนและจัดกิจกรรม การจดบันทึก
ดานทัศนคต ิ ทักษะ และความรูความเขาใจของเด็กในขณะทํากิจกรรมตาง ๆ เปนวิธีการที่ทํา ใหครูวางแผนและจัดกิจกรรมไดเหมาะสมกับเด็ก
            6. ใชประโยชนจากประสบการณเดิมของเด็ก เพื่อสอนประสบการณใหมในสถานการณ ใหมประสบการณทางคณตศาสตร์ของเด็ก อาจเกดจากกิจกรรมเดิมที่เคยทํามาแลวหริอเพิ่มเติม ขึ้นอีกได  แม้ว่าจะเปนเรื่องเดิมแตอาจอยในสถานการณ์ใหม่
          7. รูจักใชสถานการณขณะนั้นใหเปนประโยชน์ ครูสามารถใชสถานการณที่กําลังเปนอยู และเห็นไดในขณะนั้นมาทำให้เกิดการเรียนรูดานจํานวนได
          8. ใชวิธีการสอดแทรกกับชีวิตจริง เพื่อสอนความคิดรวบยอดที่ยาก การสอนความคิด รวบยอดเรื่องปริมาณขนาด และรูปรางตาง ๆ ตองสอนแบบคอย ๆ สอดแทรกไปตาม ธรรมชาติใหสถานการณที่มีความหมายต่อเด็กอยางแท้จริง ใหเด็กไดทั้งดูและจับตอง และ ทดสอบความคิดของตนเองในบรรยากาศที่เปนกันเอง
           9. ใชวิธีใหเด็กมีสวนรวมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข สถานการณ์และสภาพแวดลวนมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ครูสามารถนํามาใชในการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับตัวเลขได เพราะตามธรรมชาติของเด็กนั้นสนใจในเรื่องการนับสิ่งตาง ๆ รอบตัว รวมทั้งการจัด กิจกรรมการเลนเกมก็เปดโอกาสใหเด็กเขาใจในเรื่องตัวเลขดวย
           10. วางแผนสงเสริมใหเด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้านอยางตอเนื่อง การวางแผน การสอนนั้นครูควรวิเคราะห และจดบันทึกดวย กิจกรรมใดที่ควรสงเสริมใหทีบ้านและที่ โรงเรียน โดยยึดหลักความพรอมของเด็กเปนรายบุคคลเป็นหลัก และมีการวางแผนรวมกับ ผูปกครอง
           11. บันทึกปญหาการเรียนรูของเด็กอยางสม่ำเสมอเพื่อแกไข และปรับปรุงการจด บันทึกอยางสม่ำเสมอ ชวยใหทราบวามีเด็กคนใดยังไมเขาใจ และตองจัดกิจกรรมเพิ่มเติมอีก
          12. ในแตละครั้งครูควรสอนเพียงความคดรวบยอดเด ิ ียว และใชกิจกรรมที่จัดใหเดกได ็  ลงมือปฏิบัติจริง เด็กจึงจะเกิดการเรียนรู
         13. เนนกระบวนการเลนจากงายไปหายาก การสรางความคิดรวบยอดเกี่ยวกับตัวเลข ของเด็ก จะต้องผ่านกระบวนการเลนมีทั้งแบบจัดประเภท  เปรียบเทียบ และจดลำดับ ซึ่งตอง  อาศัยการนับ เศษสวน รูปทรง และเนื้อที่การวัด การจัดและการเสนอขอมูล ซึ่งเปนพื้นฐาน ไปสูความเขาใจเรื่องคณิตศาสตร์ต่อไป จึงจําเปนตองเริ่มตนตั้งแต่งายและค่อยๆ ยากขึ้นตามลําดับ
        14. ควรสอนสัญลักษณตัวเลขหรือเครื่องหมายเมื่อเด็กเขาใจสิ่งเหลาน ั้นแลว การใช สัญลักษณตัวเลขหรือเครื่องหมายกับเด็กนั้นทําไดเมื่อเด็กเขาใจความหมายแลว 15. ตองมีการเตรียมความพรอมในการเรียนคณิตศาสตร การเตรียมความพร้อมนั้น จะตองเริ่มจากการฝกสายตาเปนอันดับแรก เพราะหากเด็กไมสามารถใชสายตาในการจําแนก ประเภทแลว เด็กจะมีปญหาในการเรียนรูทางคณิตศาสตร              
      
            วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2542) กลาวถึงหลักการสอนคณิตศาสตร ดังนี้
           1. ใหเด็กได้มีโอกาสจดกระทำ และสำรวจวัสดุในขณะมีประสบการณเกี่ยวกับ คณิตศาสตร
           2. ใหมีสวนรวมในกิจกรรมที่เกี่ยวกับโลกทางดานกายภาพกอนเขาไปสูโลกของการคิด
              ดานนามธรรม
          3. ใหมีการพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตรเบื้องตน ได้แก่ การจัดหมวดหมู่ การเปรียบเทียบ การ
เรียงลำดับ การจัดทำกราฟ การนับ จำนวน การสังเกต การเพิ่มขึ้น และลดลงของจำนวน
          4. ขยายประสบการณทางคณิตศาสตรใหสอดคลอง โดยเรียงลำดับจากง่ายไปหายาก

          5. ฝกทักษะเบื้องตนในดานการคดคิ ํานวณ โดยสรางเสริมประสบการณแกเด็กในการ เปรียบเทียบรูปรางตาง ๆ บอกความแตกตางของขนาด น้ำหนัก ระยะเวลา จำนวนของสิ่ง ตางๆ ที่อยูรอบตัวเด็ก สามารถแยกหมวดหมู เรียงลําดับ  ใหญ่  เล็ก หรือสูง  ต่ำ เปนตน ซึ่งทักษะเหลานี้จะชวยใหเด็กพร้อม ที่จะคิดคํานวณตอไป

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 มีนาคม 2565 เวลา 22:45

    diamond artcraft.com - titanium screws | TITanium Arts
    TITanium microtouch titanium trim reviews Arts apple watch titanium vs aluminum is a new way to make custom jewelry titanium carabiners and create custom jewelry and home decor. We make sunscreen with zinc oxide and titanium dioxide special jewelry pieces for your micro touch trimmer needs,

    ตอบลบ